บทที่ 4 ตอนที่ 4
วิทวิสเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“ราช... พ่อขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย ราชควรจะให้โอกาสหนูม่านทอง...”
ผู้เป็นบิดายังพูดไม่ทันจบประโยค จอมราชก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นเสียก่อน
“ถ้าแม่นั่นสามารถทนผมได้ และอยู่ที่นี่ได้ครบหนึ่งเดือน ผมจะแต่งงานกับเธอ คุณพ่อตกลงไหมครับ”
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะราช”
คนถูกถามหัวเราะเบาๆ นัยน์ตากร้าวกระด้างน่ากลัว
“ผมก็เป็นอิสระยังไงล่ะครับ”
จอมราชกลับมานั่งบนรถวีลแชร์อีกครั้ง พร้อมๆ กับแว่นตาสีดำที่ถูกสวมลงบนใบหน้า
“ขอตัวนะครับคุณพ่อ ผมพึ่งคิดได้ว่ามีเรื่องสนุกๆ รออยู่”
“ราช...”
วิทวัสร้องเรียกลูกชาย แต่หนุ่มหล่อบนวีลแชร์กลับหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เขาถอนใจออกมาอย่างอ่อนล้า พลางภาวนาให้ม่านทองทนต่อแรงอารมณ์ของจอมราชได้ถึงหนึ่งเดือนเถอะ
หลังจากเผชิญหน้ากับพายุอารมณ์ของว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว ม่านทองก็หนีลงมาเดินเล่นในสวนดอกไม้แทน หล่อนพยายามจะไม่คิดอะไรมาก แต่กระนั้นก็ห้ามสมองที่ช่างสอดรู้สอดเห็นไม่ได้เลย เรื่องราวของจอมราชยังคงมืดดำ และก็น่าใคร่รู้ยิ่งนัก
“เธอ...”
สาวใช้ที่กำลังเดินผ่านไปถูกเรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“เรียกหนูเหรอคะ”
ม่านทองระบายยิ้ม พลางชวนคุย
“จะรีบไปไหนหรือเปล่าจ๊ะ”
“เอ่อ ไม่รีบหรอกค่ะ ว่าแต่คุณม่านทองมีอะไรให้หนูรับใช้คะ”
“นี่เธอรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ”
คิ้วโก่งสวยของม่านทองเลิกสูง พร้อมๆ กับรอยยิ้มหวานที่เกลื่อนใบหน้าตลอดเวลา
“รู้จักสิคะ ก่อนที่คุณม่านทองจะมาที่นี่ นายท่านได้บอกกับพวกเราทุกคนแล้วล่ะค่ะว่าคุณม่านทองจะมาเป็นนายหญิงของที่นี่”
แก้มนวลแดงระเรื่อขึ้นโดยอัตโนมัติ อดรู้สึกขัดเขินไม่ได้
“เอ่อ แล้วเธอชื่ออะไรจ๊ะ อยู่ที่นี่มานานหรือยัง”
คนถูกถามยิ้มกว้าง พลางแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงสดใส
“หนูชื่อจำปาค่ะ เป็นลูกของแม่จำปี หนูรับใช้นายท่านมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ”
ม่านทองฟังแล้วก็อมยิ้มอย่างถูกใจ
“งั้นแบบนี้... จำปาก็รู้เรื่องที่นี่ดีใช่ไหมจ๊ะ”
เด็กสาวช่างเจรจาพยักหน้ารับ
“จำปารู้ทุกเรื่องเลยค่ะ ว่าแต่คุณม่านทองอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะคะ”
ดวงตาของม่านทองเป็นประกาย อีกประเดี๋ยวความมืดดำของจอมราชก็คงจะกระจ่างชัดกับหล่อนแล้วสินะ
“เรื่องของพี่ราชน่ะจ้ะ”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของคู่สนทนาจางหายวับไปในทันที ก่อนที่จำปาจะรีบขยับตัวออกห่าง ปฏิกริยาเปลี่ยนแปลงไปชนิดเฉียบพลันเลยทีเดียว
“เอ่อ จำปาขอตัวก่อนนะคะ คุณม่านทอง พอดีพึ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่เรียก”
“จำปา เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ จำปา...”
ไม่ว่าหล่อนจะตะโกนเรียกเสียงดังแค่ไหน แต่จำปาก็รีบเดินหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ม่านทองถอนใจออกมาอย่างผิดหวัง พลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวใต้ต้นลีลาวดี
“แล้วแบบนี้เราจะรู้เรื่องของพี่ราชได้จากที่ไหนกันล่ะ”
“คุณม่านทองอยากรู้เรื่องไหนของนายน้อยครับ”
คนที่นั่งอยู่สะดุ้ง ก่อนจะหน้าซีดเมื่อเห็นผู้ชายตัวใหญ่มาหยุดตรงหน้าไม่ไกลนัก หล่อนรีบขยับลุกขึ้นยืน และคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้
“คุณ... เป็นใครคะ”
“ผมชื่อธีรดลเป็นคนสนิทของคุณราชครับ”
“คนสนิท”
ม่านทองทวนคำก่อนจะระบายยิ้มกว้างออกมา
“งั้นคุณพอจะเล่าเรื่องของเจ้านายคุณให้ฉันฟังได้ไหมคะ”
นัยน์ตาของคู่สนทนาไม่มีร่องรอยความรู้สึกอะไรเลยนอกจากเฉยเมย หมอนี่ท่าทางเย็นชาพอๆ กับผู้เป็นนายไม่มีผิด
“คุณม่านทองอยากรู้เรื่องอะไรล่ะครับ”
หญิงสาวขยับเข้าไปหาคู่สนทนา พลางเงยหน้าและยิ้มกว้างจนดวงตากลมโตหยีแคบลง
“ทุกเรื่องค่ะ”
“ที่นี่เคยมีคนตายมาก่อนอย่างนั้นหรือคะ?!”
ม่านทองไม่ใช่คนกลัวผี ไม่ใช่คนจิตอ่อน แต่พอได้ฟังคำบอกเล่าของธีรดลลูกน้องคนสนิทของจอมราช เส้นประสาทบางส่วนภายในกายกลับสั่นระริก คฤหาสน์สไตล์วิคตอเรียนที่เคยสวยงามตอนนี้กลับดูวังเวงขึ้นมาเฉียบพลัน
“ใช่ครับ เธอเป็นพยาบาลคนแรกที่มาดูแลนายน้อย”
คนพูดสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก ตรงกันข้ามกับหล่อนที่หน้าซีดเผือด
“แล้ว... แล้วเธอหายไปไหนคะ”
“ไม่มีใครรู้ครับ จนหนึ่งอาทิตย์ต่อมา คนสวนถึงได้พบร่างของเธอขึ้นอืดอยู่สวนหลังบ้าน ใต้ต้นลีลาวดี”
ม่านทองแทบจะกระโจนออกจากใต้ต้นลีลาวดีที่ยืนอยู่แทบไม่ทัน
“คง... คงไม่ใช่ต้นนี้ใช่ไหม”
“ผมก็จำไม่ได้หรอกครับว่ามันต้นไหน” ธีรดลหรี่ตามองหน้าหล่อน
“แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นก็คือใต้ต้นลีลาวดีแทบทุกต้น เคยเป็นหลุมศพมาแล้ว”
“ว่าไงนะคะ?”
หัวใจสาวเต้นแรงระรัว ความหวาดกลัวแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง ฉับพลันท้องฟ้าที่สว่างไสวก็มืดครึ้มลง หญิงสาวแทบช็อก
“งั้นก็แสดงว่า... ไม่ใช่ศพเดียว”
“สามศพครับ”
ม่านทองยกมือขึ้นทาบอก ขยับเข้ามายืนใกล้ธีรดลมากยิ่งขึ้น หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีประวัติน่าสะพรึงกลัวแบบนี้
“แล้ว... แล้วจับฆาตกรได้หรือยังคะ”
คู่สนทนาของหล่อนส่ายหน้าน้อยๆ พลางมองหล่อนด้วยสายตามืดลึกพอๆ กับท้องฟ้าในยามนี้เลย
“ยังครับ”
“ทะ ทำไมยังจับไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อ... มีคนตายตั้งสามศพ”
“ก็เพราะคนที่น่าสงสัยที่สุดเป็นลูกชายเจ้าของบ้านยังไงล่ะครับ”
ร่างสาวแข็งทื่อราวกับถูกสาป กลีบปากอิ่มเผยอค้างด้วยความตกใจ
“มะ หมาย... หมายความว่า...”
